หนึ่งในจุดเปราะบางของระบบเครือข่ายองค์กรคือ การให้สิทธิ์การเข้าถึงที่เกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบ VPN หากมีการกำหนดสิทธิ์แบบ “เปิดกว้าง” โดยไม่มีการควบคุมที่ชัดเจน อาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดีภายในองค์กรเอง ดังนั้น การบริหารจัดการสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ VPN จึงควรถูกออกแบบอย่างรอบคอบและเป็นระบบ
การวางโครงสร้างสิทธิ์ตามหน้าที่ (Role-Based Access Control) ช่วยให้สามารถควบคุมว่า “ใครเข้าถึงอะไร” ได้อย่างแม่นยำ และเมื่อเกิดเหตุผิดปกติ เช่น การเข้าสู่ระบบนอกเวลา การเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือความพยายามในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า VPN ระบบก็สามารถบันทึกและแจ้งเตือนได้ทันที ทั้งหมดนี้คือ การเสริมเกราะความปลอดภัยระดับองค์กร ที่เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ อย่าง “การจัดการสิทธิ์”
นอกจากนี้ การควบคุมสิทธิ์ยังช่วยลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ ลดความผิดพลาดจากผู้ใช้งาน และสร้างความเชื่อมั่นว่าองค์กรมีระบบเครือข่ายที่แข็งแรงพร้อมรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
ทำไมการกำหนดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ VPN จึงสำคัญ?
ในยุคที่การทำงานแบบ Remote Work และ การเข้าถึงข้อมูลจากระยะไกล กลายเป็นเรื่องปกติ การใช้งาน VPN (Virtual Private Network) เพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายองค์กรจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่การมี VPN อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีการ กำหนดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ VPN อย่างเหมาะสม เพื่อจำกัดขอบเขตการเข้าถึง และลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร
ประเภทของสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ VPN
1. Super Admin (ผู้ดูแลระบบหลัก)
- เข้าถึงได้ทุกส่วนของระบบ VPN
- แก้ไขนโยบายความปลอดภัย และบริหารผู้ใช้งาน
- เหมาะกับฝ่าย IT Security ระดับสูง
2. Admin ระดับรอง
- มีสิทธิ์ดูแล VPN เฉพาะบางแผนกหรือบางเซิร์ฟเวอร์
- ไม่สามารถลบ Super Admin หรือเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบหลักได้
- เหมาะกับองค์กรที่มีหลายแผนก
3. Read-Only Admin
- เข้าดูข้อมูลการเชื่อมต่อและการใช้งาน VPN ได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือลบใด ๆ
- เหมาะสำหรับเจ้าหน้าที่ Audit หรือ Compliance
แนวทางการกำหนดสิทธิ์ที่ปลอดภัย
การใช้หลักการ “Least Privilege”
ให้สิทธิ์เท่าที่จำเป็น (Minimum Access) โดยหลีกเลี่ยงการให้ Full Access แก่ผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจาก Human Error และการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
การบันทึก Log และการตรวจสอบย้อนหลัง
การกำหนดสิทธิ์ต้องควบคู่กับการเก็บ Log การใช้งาน VPN เพื่อใช้ตรวจสอบในกรณีเกิดเหตุผิดปกติ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโปร่งใสในการบริหารจัดการเครือข่าย
ใช้ระบบ 2FA สำหรับผู้ดูแล VPN
ไม่ว่าจะเป็น Super Admin หรือ Admin ระดับรอง ควรใช้ การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2-Factor Authentication) เพื่อป้องกันการแอบอ้างตัวตน
เครื่องมือที่ช่วยบริหารสิทธิ์ VPN ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- RMS (Remote Management System) จาก Teltonika
ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดสิทธิ์และควบคุมการเข้าถึง VPN ได้แบบแยกตามกลุ่มผู้ใช้ พร้อมระบบ Log และแจ้งเตือนอัตโนมัติ - ระบบ Role-Based Access Control (RBAC)
ใช้ในองค์กรที่มีความซับซ้อน เพื่อจัดกลุ่มผู้ใช้งานตามหน้าที่และมอบสิทธิ์แบบเจาะจง
สรุป
การกำหนดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ VPN เป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรไม่ควรมองข้าม การจัดการอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ และเสริมความปลอดภัยให้ระบบเครือข่ายโดยรวม ควรเลือกใช้เครื่องมือและแนวทางที่เหมาะสมกับขนาดและโครงสร้างขององค์กรเพื่อให้การบริหาร VPN มีประสิทธิภาพสูงสุด