ในยุคที่การเชื่อมต่อ VPN เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานจากระยะไกล การกำหนดเส้นทางการรับส่งข้อมูลให้เหมาะสมจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ระบบเครือข่ายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น “Static Route” หรือเส้นทางแบบคงที่ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้แอดมินสามารถควบคุมทิศทางของทราฟฟิก (Traffic) ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งาน VPN จากหลายเส้นทางหรือหลายไซต์ (Site-to-Site VPN)
Static Route คืออะไร
Static Route หรือ เส้นทางแบบคงที่ คือการกำหนดเส้นทางการส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายแบบตายตัว โดยผู้ดูแลระบบเป็นผู้ระบุเส้นทางและเกตเวย์ (Gateway) ที่จะใช้ ส่งผลให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างมีทิศทาง ไม่ต้องอาศัยกระบวนการคำนวณเส้นทางอัตโนมัติแบบ Dynamic Routing
เหตุผลที่ควรกำหนด Static Route สำหรับ VPN
1. แยกเส้นทาง VPN ออกจากทราฟฟิกทั่วไป
ช่วยลดความแออัดของแบนด์วิดท์โดยแยกทราฟฟิกของ VPN ไปคนละเส้นกับทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตปกติ เช่น ให้การเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานใหญ่และสาขาใช้ VPN โดยเฉพาะ
2. ควบคุมการเชื่อมต่อระหว่างไซต์ได้แม่นยำ
เหมาะสำหรับ Site-to-Site VPN ที่ต้องการให้ทราฟฟิกของแต่ละสาขาไปยังปลายทางผ่าน Gateway เฉพาะ
3. ลดภาระบน Routing Table
Static Route มีขนาดเล็กกว่าการใช้ Dynamic Routing Protocol เช่น OSPF หรือ BGP ซึ่งเหมาะกับเครือข่ายที่ไม่ซับซ้อน
ตัวอย่างการกำหนด Static Route เพื่อแยก VPN
สถานการณ์สมมติ:
บริษัทมีสำนักงานใหญ่ (192.168.1.0/24) และสาขา (192.168.2.0/24) เชื่อมต่อกันผ่าน VPN และต้องการให้ทราฟฟิกระหว่าง 2 สาขานี้ส่งผ่าน VPN เท่านั้น
วิธีการ:
ใน Router ของสำนักงานใหญ่
Destination Network: 192.168.2.0/24
Next Hop: 10.0.0.2 (VPN Tunnel Gateway)
ใน Router ของสาขา
Destination Network: 192.168.1.0/24
Next Hop: 10.0.0.1 (VPN Tunnel Gateway)
สิ่งที่ควรระวังเมื่อใช้ Static Route กับ VPN
- หาก IP หรือโครงสร้างเครือข่ายเปลี่ยน จะต้องแก้ไขค่าด้วยตนเอง
- ต้องกำหนดเส้นทางให้ครบทุกปลายทางที่ต้องการติดต่อ
- ไม่เหมาะกับเครือข่ายขนาดใหญ่มากหรือมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย
สรุป
การกำหนด Static Route เพื่อแยกเส้นทาง VPN เป็นเทคนิคที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับองค์กรที่ต้องการควบคุมทราฟฟิกระหว่างสาขาให้เป็นระเบียบ มีความปลอดภัย และไม่รบกวนแบนด์วิดท์ของเครือข่ายหลัก ช่วยให้ระบบมีเสถียรภาพและจัดการได้ง่ายกว่าเดิม